ประวัติความเป็นมา
“ค่าว” หมายถึง คำประพันธ์ที่มีลักษณะร้อยสัมผัสสอดเกี่ยวกันไป(แบบร่าย) และจบลงด้วยโคลงสองหรือโคลงสามสุภาพ มีหลายชนิด เช่น
- เรื่องที่ปรากฏในเทศนาธรรมเรียกว่า “ค่าวธรรม”
- แต่งเป็นจดหมายรักเรียกว่า”ค่าวใช้”
- นำไปอ่านเป็นทำนองเสนาะเรียกว่า “ค่าวซอ” หรือ “เล่าค่าว”
- เป็นการขับลำนำตอนไปแอ่วสาว เรียกว่า “จ๊อย”
ศิริพงศ์ วงศ์ไชย ได้กล่าวถึง ค่าว หรือ ค่าวฮ่ำ ไว้ว่า ค่าวเป็นร้อยกรองชนิดหนึ่งของล้านนาไทย ถือเป็นวรรณกรรมของชาวล้านนาในสมัยโบราณ ชาวล้านาสมัยโบราณโดยเฉพาะหนุ่ม สาว นิยมพูดจาหยอกล้อ กระเซ้าเย้าแหย่กัน พูดจาโต้ตอบหรือจีบกัน ด้วย ค่าวฮ่ำ หรือกำค่าว กำเครือ ถ้าเป็นหนุ่มก็จะเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ เพราะถือว่าเก่ง มีความรู้ ความสามารถเชิงกวี
ผู้ที่มีชื่อเสียงในการแต่งค่าวในสมัยก่อน ได้แก่พระยาพรหมโวหาร ซึ่งมีผลงานเป็นที่รู้จัก คือ ค่าวพระยาพรหม “ สามตัวเหลียว เจ็ดตัวเทียว บาทหลังบาทหน้า” คือ กลอนตัวต้นมี 3 ตัว วรรคถัดไปมี 4 ตัว รวมเป็น 7 ตัวและเหลียวมาสัมผัสตัวหน้าในวรรคต่อไป
อาจารย์สิงฆะ วรรณสัย อ้างใน มณี พยอมยงค์ (25..,หน้า 1) กล่าวไว้ในหนังสือปริทัศน์วรรณคดีล้านนาว่า คร่าว(ค่าว) คือเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อพรรณนาเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้อ่าน ผู้ฟังได้รับความเพลิดเพลินใจ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1) คร่าวธรรม หรือธรรมค่าว ได้แก่ คัมภีร์ชาดก เช่น ปัญญาชาดก ซึ่งพระสงฆ์นิยมใช้เทศนาให้อุบาสกอุบาสิกาฟังในเทศกาลเข้าพรรษา เพราะประชาชนนิยมเข้าวัดฟังธรรมในวันธรรมสวนะตลอดพรรษา
2) คร่าวซอ เกิดจากการนำเอาคร่าวธรรมหรือชาดมาแต่งเป็นกลอนคร่าวเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้านเข้าไปเพื่อให้คนหนุ่มสาวในล้านนาได้อ่าน ฟังกัน ทำให้เกิดวรรณกรรมสำคัญหลายเรื่องเช่น คร่าวหงส์หิน คร่าวสุวัตร เป็นต้น
3) คร่าวใช้ หมายถึง จดหมายรักหรือเพลงยาวที่แต่งเป็นฉันทลักษณ์คร่าว ซึ่งชายหนุ่มส่งให้หญิงสาว แล้วหญิงสาวตอบจดหมายเรียกว่า คร่าวใช้ คือชดใช้ที่หนุ่มเขียนจดหมายถึงตน โดยมากจะไปขอให้พวกกวีเขียนให้ จึงมีสำนวนไพเราะและกินใจ
4) คร่าวร่ำ หรือ คร่าวฮ่ำ ได้แก่วรรณกรรมที่แต่งด้วยฉันทลักษณ์คร่าวพรรณนาเหตุการณ์ทั้งหลายที่กวีได้พบเห็น แล้วนำมาแต่งเป็นการรำพัน หรือร่ำพรรณนา จึงเรียกว่า คร่าวร่ำ
“จ๊อย” เป็นการขับลำนำอย่างหนึ่งของภาคเหนือ เป็นถ้อยคำที่กล่าวออกมาโดยมีสัมผัสคล้องจองกันเป็นภาษาพื้นเมือง ออกเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นทำนองเสนาะ ฟังแล้วจะเกิดความไพเราะ สนุกสนานไปตามท่วงทำนองจ๊อย จัดอยู่ในวรรณกรรมประเภท “ค่าว” และ “ซอ” โดยทั่วไป “จ๊อย” จะเป็นการขับลำนำที่หนุ่มชาวเหนือขับร้องเพื่อ จะได้มีเสียงร้อง เป็นเพื่อนขณะเดินทางไปแอ่วสาวในเวลากลางคืน การจ๊อยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีประกอบเหมือนอย่างซอ แต่บางครั้งบ่าวอาจจะดีดซึง ดีดเปี๊ยะหรือสีสะล้อคลอไปด้วยก็ได้ ในอดีตการที่หนุ่มสาวจะตกลงปลงใจยินยอมมาใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยานั้น จะต้องเริ่มต้นมาจากการได้พบประพูดจา ดูอุปนิสัยซึ่งกันและกันนานพอสมควร เมื่อเห็นว่ามีอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกัน หรือมีความพอใจซึ่งกันและกัน ก็จะมีการหมั้นหมายแต่งงานกัน
ตัวอย่าง
“สาวเหยสาว อ้ายคนบ่เหมาะ ขอเปาะสักเกิ่ง อ้ายคนบ่เปิง เปาะนี่สักผาก นั่งต๋ามหัวต๋ง หัวแป้น หัวฟาก ก็หล้างบ่เป๋นหยังก้าหา”
คำแปล
น้องสาวจ๊ะ พี่คนต่ำต้อยขอขึ้นไปนั่งบนบ้านสักนิดจะได้ไหม จะขอนั่งตรงหัวบันไดนี่แหละ เจ้าของบ้านคงจะไม่ว่าอะไร ฝ่ายหญิงสาวก็จะเชื้อเชิญด้วย “กำค่าว กำเครือ” เช่นกัน
|